วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ดวงจันทร์


ดวงจันทร์ เป็นดาวบริวารเพียงดวงเดียวของโลก จัดเป็นดาวบริวารขนาดใหญ่ลำดับที่ 5 ในระบบสุริยะ มีระยะห่างจากโลกเฉลี่ยนับจากศูนย์กลางถึงศูนย์กลางประมาณ 384,403 กิโลเมตร เทียบเท่ากับ 30 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลางของโลก จุดศูนย์กลางมวลร่วมของระบบตั้งอยู่ที่ตำแหน่ง 1700 กิโลเมตรใต้ผิวโลก หรือประมาณ 1 ใน 4 ของรัศมีของโลก ดวงจันทร์โคจรรอบโลกในเวลาประมาณ 27.3 วัน[nb 1] เมื่อเปรียบเทียบการแปรคาบโคจรตามมาตรภูมิศาสตร์ระหว่างโลก-ดวงจันทร์-ดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดเป็นเฟสของดวงจันทร์ ซึ่งจะซ้ำรอบทุกๆ ช่วง 29.5 วัน[nb 2] (เรียกว่า คาบไซโนดิก)
เส้นผ่านศูนย์กลางของดวงจันทร์มีค่าประมาณ 3,474 กิโลเมตร[1] หรือประมาณหนึ่งในสี่ของโลก ดังนั้นพื้นผิวของดวงจันทร์มีน้อยกว่า 1 ใน 10 ของพื้นผิวของโลก (ประมาณ 1 ใน 4 ของผืนทวีปของโลกเท่านั้น คิดเป็นขนาดใหญ่ประมาณรัสเซีย แคนาคา กับสหรัฐอเมริกา รวมกัน) มวลรวมของดวงจันทร์คิดเป็นประมาณ 2% ของมวลของโลก และแรงโน้มถ่วงเป็น 17% ของโลก
สัญลักษณ์แทนดวงจันทร์คือ ☾ ปี พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) นีล อาร์มสตรอง และ บัซซ์ อัลดริน นักบินอวกาศขององค์การนาซา เป็นมนุษย์ 2 คนแรกที่เหยียบลงบนพื้นดินของดวงจันทร์ กฎหมายอวกาศถือว่าดวงจันทร์เป็นสมบัติร่วมกันของมนุษยชาติ ตามสนธิสัญญาที่ใช้บังคับกิจกรรมของรัฐบนดวงจันทร์ ดวงดาว และวัตถุอวกาศอื่นๆ ค.ศ. 1979

พรรณไม้


กุหลาบเป็นดอกไม้ที่นิยมปลูกไว้ชื่นชมมาแต่โบราณ ประมาณกันว่ากุหลาบเกิดขึ้นเมื่อกว่า 70 ล้านปีมาแล้ว เคยมีการค้นพบฟอสซิลของกุหลาบใน รัฐโคโลราโด และ รัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้พิสูจน์ว่ากุหลาบป่าเป็นพืชที่มีอายุถึง 40 ล้านปี แต่กุหลาบป่าสมัยโลกล้านปีนี้ มีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกุหลาบสมัยนี้ เนื่องจากมนุษย์ได้นำเอากุหลาบป่ามาปลูกและผสมพันธุ์ ขยายพันธุ์เป็นพันธุ์ต่างๆ มากมาย
ความจริงแล้วกำเนิดของกุหลาบหรือกุหลาบป่านี้มีเฉพาะในแถบบริเวณเหนือเส้นศูนย์สูตรของโลกเท่านั้น คือกำเนิดในภาคกลางของทวีปเอเชีย แล้วแพร่ขยายพันธุ์ไปตลอดซีกโลกเหนือ ไม่ว่าจะเป็นแถบที่มีอากาศหนาวจัดอย่าง อาร์กติก อลาสก้า ไซบีเรีย หรือแถบอากาศร้อนอย่าง อินเดีย แอฟริกาเหนือ แต่ในบริเวณแถบใต้เส้นศูนย์สูตรอย่างทวีปออสเตรเลีย หรือเกาะต่างๆ ในมหาสมุทรรวมทั้งแอฟริกาใต้ ไม่เคยมีปรากฏว่ามีกุหลาบป่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเลยตามประวัติศาสตร์เล่าว่า กุหลาบป่าถูกนำมาปลูกไว้ในพระราชวังของจักรพรรดิจีน ในสมัยราชวงศ์ฮั่นราว 5,000 ปีมาแล้ว ขณะที่อียิปต์เองก็ปลูกกุหลาบเป็นไม้ดอก ส่งไปขายให้แก่ชาวโรมัน ชาวโรมันเป็นชาติที่รักดอกกุหลาบมากถึงจะสั่งซื้อจากประเทศอียิปต์แล้ว ยังลงทุนสร้างเนอร์สเซอรี่ขนาดใหญ่สำหรับปลูกดอกกุหลาบอีกด้วย สำหรับชาวโรมันแล้วเรียกได้ว่าดอกกุหลาบมีความสำคัญกับชีวิตประจำวัน เพราะชาวโรมันถือว่าดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ซึ่งเป็นทั้งของขวัญ เป็นดอกไม้สำหรับทำเป็นมาลัยต้อนรับแขก เป็นดอกไม้สำหรับงานเฉลิมฉลองต่างๆ ใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับทำขนม ทำไวน์ ส่วนน้ำมันกุหลาบยังใช้ทำเป็นยาได้อีกด้วย
กุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและความโรแมนติก ซึ่งมีบางตำนานเล่าว่า ดอกกุหลาบเป็นเสมือนเครื่องหมายแทนการกำเนิดของ เทพธิดาวีนัส ซึ่งเป็นเทพแห่งความงาม และความรัก วีนัสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อโฟรไดท์ ในตำนานเทพของกรีกได้กล่าวไว้ว่า น้ำตาของเธอหยดลงปะปนกับเลือดของ อคอนิส คนรักของเธอที่ถูกหมูป่าฆ่า เลือดและน้ำตาหยดลงสู่พื้นแล้วกลายเป็นดอกไม้สีแดงเข้มหรือดอกกุหลาบนั่นเอง แต่บางตำนานก็เล่าว่าดอกกุหลาบเกิดจากเลือดของ อโฟรไดท์ เองที่หยดลงสู่พื้น เมื่อเธอแทงตัวเองด้วยหนามแหลม

วันแม่


วันแม่แห่งชาติ ทุกวันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปี
วันแม่แห่งชาติ หรือที่คนไทยทั่วไปนิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า "วันแม่" ทุกคนรับทราบและซาบซึ้งกันดี เนื่องจากวันสำคัญนี้ตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถคือ วันที่ 12 สิงหาคม อันเป็นวันคล้ายวันเสด็จพระราชสมภพและถือว่าเป็นวันแม่ของชาติด้วย
แต่เดิมนั้น วันแม่ของชาติได้กำหนดเอาไว้วันที่ 15 เมษายนของทุก ๆ ปี ทั้งนี้เป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรีประกาศรับรอง เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2493 ซึ่งได้พิจารณาเห็นว่าการจัดงานวันแม่ของสำนักวัฒนธรรมฝ่ายหญิง สภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้รับมอบหมายให้จัดงาน วันแม่ มาตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน พ.ศ.2493 เป็นครั้งแรกเป็นต้นมานั้นได้รับความสำเร็จด้วยดี ด้วยประชาชนให้การสนับสนุนจนสามารถขยายขอบข่ายของงานให้กว้างขวางออกไป มีการจัดพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา การประกวดคำขวัญวันแม่ การประกวดแม่ของชาติ เพื่อให้เกียรติและตระหนักในความสำคัญของแม่ และเพื่อเพิ่มความสำคัญของวันแม่ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ด้วยเหตุนี้งานวันแม่จึงเป็นวันแม่ประจำปีของชาติตามประกาศของรัฐบาลฯพณฯ จอมพล ป.พิบูลสงคราม แต่โดยทั่วไปเรียกกันว่าวันแม่ของชาติ ต่อมาถึง พ.ศ.2519 ทางราชการได้เปลี่ยนใหม่ให้ถือเอาวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ คือ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ เริ่มในปี พ.ศ.2519 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน วันแม่แห่งชาติ เป็นวันที่ทางราชการกำหนดในวันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปี และถือว่าเป็นวันสำคัญยิ่งของปวงชนชาวไทย โดยกำหนดให้ถือว่า "ดอกมะลิ" สีขาวบริสุทธิ์เป็นสัญลักษณ์ของความดีงามของแม่ผู้ให้กำเนิดแก่เรา

วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

i'm..so alone.


คนเกิดวันอาทิตย์ บุคลิกลักษณะเป็นคนคล่องแคล่วว่องไว ในนักเลง กล้าหาญ แต่บางคราวก็นิ่มนวลอ่อนหวานต่อเพศตรงข้ามอย่างน่าอัศจรรย์ใจเชียวล่ะ ...นิสัยใจคอชอบเปิดเผย ปากกับใจตรงกัน ทำอะไรเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นขั้นเป็นตอนดีเยี่ยม มีดวงชะตาที่อยู่เหนือคนอื่น ชอบผจญภัยกับเรื่องแปลกใหม่และท้าทายอยู่เสมอ มีชีวิตอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเพื่อนฝูง มักมีคนมาขอความช่วยเหลืออยู่เสมอ ทั้งเรื่องเงินทอง หรือด้านคำปรึกษาการจัดการเรื่องราวต่างๆ แน่ล่ะ...เพราะเขาและเธอมีฉายาว่า "จอมวางแผน" ...แต่คุณๆทั้งหลายก็ทำได้ดี และมั่นใจเสียด้วย คนวันอาทิตย์ก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะ คนรอบข้างเขาเมื่ออ่านแล้วก็คงจะเข้าใจเขาเหล่านั้นมากขึ้น

stitch


ชีวิตมีความท้าทายรออยู่สำหรับ ลีโล่ (ให้เสียงพากย์โดย ดาวีห์ เชส) เด็กหญิงเหงาๆ ชาวฮาวาย ที่ใช้ชีวิตอยู่กับพี่สาววัย 19 ชื่อ นานี่ (ให้เสียงพากย์โดย เทีย คาร์เรเร่) สาวน้อยทั้งสองดิ้นรนต่อสู้เลี้ยงดูตนเองแต่อะไรๆ ไม่ได้ดำเนินไปอย่างสวยงามนัก เมื่อ คอบร้า บับเบิลส์ (ให้เสียงพากย์โดย วิง เรมส์) นักสังคมสงเคราะห์จอมเครียดแวะมาเยี่ยม เขาก็พบสองสาวพี่น้องกำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรง เขาจึงเตือนนานี่ว่า เธอมีเวลาเหลืออีกแค่ 3 วันเท่านั้น ในอันที่จะพิสูจน์ตัวเองว่า เหมาะสมแก่การทำหน้าที่ดูแลลีโล่ได้ หาไม่แล้วสถานการณ์ในบ้านหลังนี้ จะต้องเปลี่ยนแปลงแน่นอน และแล้วในเย็นวันนั้น ลีโล่ก็เห็นดาวตกผ่านหน้าต่างห้องนอน เธอจึงอธิษฐานขอ "ใครซักคนก็ได้มาเป็นเพื่อน ใครซักคนที่จะไม่วิ่งหนีหนูไป" ก่อนเสริมด้วยว่า "ท่านส่งเทวดามาให้หนูก็ได้ เทวดาที่น่ารักที่สุดที่ท่านมีอยู่น่ะค่ะ"
แต่ในความจริง ดาวตกดวงนั้นคือยานอวกาศของ สติทช์ สิ่งมีชีวิตประหลาด (ที่รู้จักกันในชื่อ "การทดลอง 626") ซึ่งเพิ่งหนีมาจากดาวทูโร่ นักวิทยาศาสตร์ชื่อ จัมบ้า (ให้เสียงพากย์โดย เดวิด อ็อกเดน สเทียร์ส) ผู้สร้างมันขึ้นมาพูดถึงสติทช์ว่า เป็นอะไรที่ "กันกระสุน กันไฟ และคิดได้เร็วยิ่งกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ซะอีก มันมองเห็นได้ในความมืด และยกวัตถุอะไรๆ ที่ใหญ่โตกว่าตัวมันถึง 3 พันเท่าได้ สัญชาตญาณอย่างเดียวของมันก็คือ.. ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่มันสัมผัส" ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย ในสายตาของสมาชิกสภาหญิง (ให้เสียงพากย์โดย โซ คาลด์เวลล์) แห่งสหพันธ์กาแล็กติค เธอจึงจับจัมบ้าเข้าคุก และพิพากษาให้ส่งตัวสติทช์ ไปยังดาวเคราะห์น้อยไกลลิบ แต่ก่อนที่กัปตันแกนทู จะลงมือกำจัดสติทช์ตามคำสั่ง มันก็ขโมยยานของตำรวจ และบังคับให้พุ่งด้วยความเร็วสูง หนีมายังโลกได้ทันเวลา สมาชิกสภาไม่มีทางเลือกอื่นอีก จึงต้องเสนอว่า จะปล่อยตัวจัมบ้าเป็นอิสระ หากเขาตามจับสติทช์กลับมาได้ และเพื่อจะคอยควบคุมปฏิบัติการของจัมบ้าไว้ ไม่ให้คลาดสายตา เธอจึงส่ง พลีคลี่ย์ (ให้เสียงพากย์โดย เควิน แม็คดอนัลด์) เอเลี่ยนผู้สนใจศึกษาโลกมนุษย์เป็นพิเศษ และมีสามขากับตาหนึ่งข้างให้ติดตามมาด้วย (โดยความรู้ทั้งมวลที่พลีคลี่ย์มีเกี่ยวกับโลกนั้น ได้มาจากการดูภาพใน View-master® ล้วนๆ )
ฝ่ายสติทช์นั้นบังคับยานมาถึงโลก และเคราะห์ร้ายดิ่งเข้าใส่รถบรรทุกน้ำตาลทรายเต็มเปา เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกทีก็พบว่า ตัวเองอยู่ในบ้านดูแลสัตว์หลังหนึ่ง และฉายแววเสน่ห์น่ารักเข้าตา จนลีโล่เก็บมันไปเลี้ยง (พร้อมกับตั้งชื่อให้ว่า สติทช์) ทักษะสุดล้ำหน้า ทำให้มันสามารถเก็บซ่อนแขนขาพิเศษ (จาก 6 เหลือ 4 ข้าง), เสาอากาศและเดือยบนหลังได้ เพื่อให้ตัวเองดูเหมือนหมาหน้าตาพิลึกๆ ตัวหนึ่ง แม้พี่สาวของลีโล่ และลูกจ้างบ้านดูแลสัตว์จะผวาหน้าตาของมัน แต่ลีโล่กลับหลงรักสติทช์ และยืนกรานจะนำกลับไปเลี้ยงที่บ้านให้ได้ ขณะที่สติทช์เองก็รู้ว่า ลีโล่กับนานี่มีที่คุ้มภัย ให้มันรอดจากเงื้อมมือชองจัมบ้ากับพลีคลี่ย์ได้ มันจึงยินดีที่จะถูกรับตัวไปเลี้ยง และทำตัว "ติดหนึบ" กับครอบครัวใหม่ของมันทันที
แต่ชีวิตใหม่ก็ไม่ได้ราบรื่นเอาซะเลย สติทช์เริ่มสำแดงพฤติกรรมร้ายๆ และสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายไม่หยุดหย่อน จนแทบจะเรียกได้ว่า เป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารักน้อยที่สุดแล้วบนโลกใบนี้ เมื่อลีโล่พามันไปร้านอาหารที่นานี่ทำงานอยู่ สติทช์ก็สร้างความพินาศจนนานี่ถูกไล่ออกจากงาน แต่ถึงอย่างนั้นลีโล่ก็ยังปกป้องมัน และกระตุ้นให้มันทำตัวเป็นประชากรตัวอย่าง เหมือนฮีโร่ของเธอคือ เอลวิส เพรสลี่ย์ ด้วย เดวิด คาเวน่า (ให้เสียงพากย์โดย เจสัน สก็อตต์ ลี) แฟนเก่า และเพื่อนร่วมงานของนานี่ พยายามช่วยให้ทุกคนอารมณ์ดีขึ้น ด้วยการชวนไปเล่นโต้คลื่นในตอนบ่าย ซึ่งสติทช์ก็สามารถเอาชนะ อาการเกลียดการเล่นเซิร์ฟของมันได้สำเร็จ แถมยังติดอกติดใจไม่ยอมเลิก จนเมื่อจัมบ้ากับพลีคลี่ย์มาพบเข้า ทั้งคู่ก็ดึงมันให้จมลงใต้น้ำ แต่เดวิดเข้ามาช่วยชีวิตไว้ได้ทันเวลา
คอบร้า บับเบิลส์ เห็นภาพความวุ่นวายบนชายหาดเข้าเต็มตา จึงบอกกับนานี่ว่า เขาไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว นอกจากแยกตัวลีโล่ไปซะ สติทช์จึงรู้ตัวเดี๋ยวนั้นเองว่า มันกำลังทำลายครอบครัวน้อยๆ นี้ ขณะที่ความปรารถนาโอฮาน่า ('ohana - ศัพท์ฮาวายเอี้ยน หมายถึงแนวคิดเรื่องครอบครัว ที่จะไม่มีการทอดทิ้ง หรือหลงลืมใครไว้ตามลำพัง) ของลีโล่ก็จางลงอย่างรวดเร็ว และเมื่อสมาชิกสภาหญิง ไล่จัมบ้ากับพลีคลี่ย์ออก เพราะปฏิบัติการล้มเหลว ทั้งคู่ก็ตัดสินใจลงมือครั้งสุดท้าย ด้วยการไล่ตามสติทช์ ไปถึงบ้านของลีโล่กับนานี่ แล้วพังบ้านนั้นทิ้ง แต่ก็ยังจับตัวสติทช์ไม่สำเร็จอยู่นั่นเอง
ในช่วงเวลาที่อะไรๆ เลวร้ายถึงขีดสุด กัปตันแกนทู (ให้เสียงพากย์โดย เควิน ไมเคิล ริชาร์ดสัน) ก็เดินทางมา พร้อมยานลำยักษ์ เพื่อจับตัวสติทช์ มันหนีไปได้ แต่ลีโล่กลับถูกจับแทน สติทช์ซึ่งตระหนักในที่สุดว่า มันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวลีโล่กับนานี่ จึงเกลี้ยกล่อมจัมบ้ากับพลีคลี่ย์ ให้ร่วมแรงกันช่วยลีโล่ออกมา การไล่ล่าอันดุเดือดทั่วเกาะฮาวายจึงเกิดขึ้น และสติทช์สามารถช่วยลีโล่ออกมาได้สำเร็จ ร้อนถึงสมาชิกสภาหญิง ต้องตัดสินใจออกมาเป็นผู้ควบคุมตัวสติทช์เอง และเกมนี้ดูเหมือนจะจบสิ้นลงในที่สุด แต่.. กฎของเกมก็ไม่ได้ดำเนินไปอย่างที่ใครๆ คาดคิด!
ปัญหาและอารมณ์ขันมีอยู่เหลือล้นในสวรรค์! เมื่อเด็กหญิงขี้เหงาชาวฮาวายชื่อ ลีโล่ อธิษฐานกับดวงดาวขอใครซักคนมาเป็นเพื่อน แล้วเอเลี่ยนจอมซนมหากาฬแห่งจักรวาล ตอบรับคำขอของเธอใน Lilo & Stitch แอนิเมชั่นขบขันสดใส เรื่องใหม่ล่าสุดจาก วอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส เรื่องนี้ ที่ซึ่งผสมผสานตัวละครอันน่าจดจำ, เรื่องราวที่เปี่ยมด้วยจินตนาการ กับอารมณ์ขันพิลึกกึกกือ และงานภาพสวยงามเจิดจ้า (เพราะนี่เป็นหนังเรื่องแรกในรอบ 6 ทศวรรษของทางสตูดิโอที่ใช้สีน้ำ!!!)
หนังเล่าเรื่องราวของหนูน้อยลีโล่ ที่ได้เผชิญหน้าระยะกระชั้น กับเอเลี่ยนทดลองสุดซ่าชื่อ "สติทช์" ซึ่งหนีมาจากดาวแห่งเอเลี่ยน แล้วหล่นลงบนพื้นโลก รูปร่างเล็กจ้อยหน้าตาละม้าย "หมา" ของสติทช์ ทำให้ลีโล่เก็บมันไปเลี้ยงด้วยความรัก ความจริงใจ และความเชื่ออันมั่นคงต่อเรื่อง "โอฮาน่า" ('ohana - ศัพท์ฮาวายหมายถึงครอบครัว) จนสามารถเปิดหัวใจของสติทช์ได้สำเร็จ และมอบสิ่งหนึ่ง ที่มันไม่เคยคาดฝันว่าจะมี นั่นคือ ครอบครัว
ด้วยภาพบ้านเมืองเขตร้อนเขียวชุ่มฉ่ำ, อารมณ์ขันไม่ธรรมดา และเพลงคลาสสิคของ เอลวิส เพรสลี่ย์ ทำให้ Lilo & Stitch เป็นหนังที่จะพาคนดูเข้าสู่การเดินทางอันแสนรื่นรมย์ผ่านห้วงจักรวาลแอนิเมชั่น โดยงานชิ้นนี้นับเป็นหนังเรื่องที่ 2 ที่สร้างกันที่แผนกภาพยนตร์แอนิเมชั่นในฟลอริด้า (Florida Feature Animation) ของดิสนีย์ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นสถานที่สร้างผลงานเรื่องดังปี 1998 อย่าง Mulan มาแล้ว
องค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเสริมความโดดเด่นและความสนุกสนานให้แก่ Lilo & Stitch ก็คือซาวด์แทร็คสุดโจ๋ของ "ราชา" เอลวิส เพรสลี่ย์ ซึ่งเป็นผู้ขับร้องเพลงยอดฮิตทั้ง 6 เพลงที่ปรากฏในหนังเรื่องนี้ รวมถึงเวอร์ชั่นใหม่สุดเร้าใจของอีก 2 เพลงดังของเอลวิสคือ Burning Love ซึ่งขับขานโดยนักร้องคันทรี่ ระดับชิงรางวัลแกรมมี่อย่าง วินอนน่า (Wynonna) และ Can't Help Falling in Love ในช่วงเครดิตท้ายเรื่อง ขับร้องโดย A*Teens วงดนตรีพ็อพสุดดังของสวีเดน กับยังได้คอมโพสเซอร์ชื่อก้องอย่าง อลัน ซิลเวสทรี (เข้าชิงออสการ์จาก Forrest Gump) มาเพิ่มสีสันและความแฟนตาซี ให้แก่เรื่องราวเมามันยากจะคาดเดาของหนังเรื่องนี้ ด้วยดนตรีประกอบของเขา ร่วมกับนักดนตรีฮาวายมือฉมัง มาร์ค คีลี โฮโอมาลู (Mark Keali'i Ho'omalu) ในเพลงฮาวายเอี้ยนอีก 2 เพลง ซึ่งแสดงโดยสมาชิกวงคอรัสจาก Kamehameha School Children's Chorus
Lilo & Stitch เป็นหนังเรื่องที่สอง ที่สร้างกันในแผนกแอนิเมชั่นที่ฟลอริด้าของดิสนีย์ โดยทุกส่วนของงานสร้าง (ยกเว้นการวาดดิจิตอลที่ใช้ระบบ CAPS ซึ่งเคยคว้ารางวัลออสการ์มาแล้ว) เป็นหน้าที่รับผิดชอบของศิลปิน, แอนิเมเตอร์ และช่างเทคนิค 300 ชีวิตที่แผนกภาพยนตร์แอนิเมชั่นในฟลอริด้านี้
ผู้รับหน้าที่ดูแล Lilo & Stitch ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงงานสร้างก็คือ ทีมผู้กำกับ/เขียนบท คริส แซนเดอร์ส กับ ดีน เดบลัวส์ โดยแซนเดอร์สเป็นมือเก๋าผู้เก่งกาจ ที่ทำงานกับแผนกภาพยนตร์แอนิเมชั่น ของดิสนีย์มาตั้งแต่ปี 1987 และเคยทำสตอรี่บอร์ดฉากสำคัญๆ ใน Beauty and the Beast, เป็นโปรดัคชั่นดีไซเนอร์ให้ The Lion King และเป็นหัวหน้าทีมคิดเรื่องของ Mulan มาแล้ว ก่อนจะรับหน้าที่สร้างไอเดียของหนังเรื่องนี้ ส่วนเดอบลัวส์ ซึ่งเคยร่วมงานกับแซนเดอร์ส ในตำแหน่งหัวหน้าร่วมของฝ่ายเรื่องราวใน Mulan ก็สานต่อไอเดีย และนำความสามารถด้านการวางโครงร่างภาพ มาใช้กับโปรเจ็คต์นี้ ทั้งคู่เลือกทำบทให้เป็นสตอรี่บอร์ดด้วยตนเอง แทนที่จะใช้วิธีส่งต่อ ให้เป็นหน้าที่ของแผนกเรื่องราวเหมือนปกติ นั่นทำให้พวกเขาสามารถถ่ายทอดมุมมองของตน ต่อทีมงาน และกำหนดทิศทาง แก่ทีมแอนิเมเตอร์กับทีมสร้างสรรค์ ได้อย่างชัดเจนเป็นขั้นเป็นตอน
ตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างตกเป็นของ คลาร์ค สเปนเซอร์ ซึ่งทำงานกับดิสนีย์มานาน 12 ปีโดยเริ่มจากงานด้านวางแผนและการเงิน ล่าสุดเป็นรองประธานอาวุโส กับผู้จัดการทั่วไปของวอลท์ ดิสนีย์ฟีเชอร์แอนิเมชั่นฟลอริด้า ลิซ่า พูล รับหน้าที่ผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้าง และ เจฟฟ์ ดัตตัน ผู้ประสานงานฝ่ายศิลปะ มาใช้ทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ และการจัดการของเขา ในหน้าที่ดูแลงานสร้าง ให้ได้ผลดีเลิศที่สุดเมื่อปรากฏบนจอ
ผู้รับหน้าที่ถ่ายทอดมุมมองของผู้กำกับ ให้กลายเป็นภาพบนจอก็คือ พอล เฟลิกซ์ โปรดัคชั่นดีไซเนอร์, ริค สลูเตอร์ ผู้กำกับศิลป์ และ บ็อบ สแตนตัน แบ็คกราวด์ซูเปอร์ไวเซอร์ โดยภาพวาดแรกเริ่มของแซนเดอร์ส ให้ไอเดียเกี่ยวกับการใช้สีน้ำ และสลูเตอร์ก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่า สไตล์ของสื่อชนิดนี้ เหมาะสมอย่างยิ่ง สำหรับการใช้จับอารมณ์ชุ่มฉ่ำ ตามธรรมชาติของเกาะฮาวาย พวกเขาร่วมกันทดลองสีน้ำ และค้นพบแนวทางใหม่ๆ ในการทำให้วิธีนี้เหมาะกับตัวหนัง สีน้ำเป็นสื่อที่เคยใช้กันเป็นปกติ ในหนังดิสนีย์ยุคแรกๆ อย่าง Snow White and the Seven Dwarfs, Pinocchio, Dumbo และ Bambi แต่ต่อมานักวาดได้เปลี่ยนมาใช้สีผสมน้ำมัน "gouache" (เป็นวิธีวาดสีทึบ) มากกว่า จนกระทั่งทีมแบ็คกราวด์ของ Lilo & Stitch กลับมารื้อฟื้นศิลปะที่ห่างหายไปแล้วนี้อีกครั้ง และนำมาใช้ในวิธีใหม่ที่น่าตื่นเต้น
นอกเหนือจากทีมที่กล่าวมาแล้ว ซูเปอร์ไวเซอร์คนหลักๆ ของหนังยังได้แก่ อาร์เดน ชาน (เลย์เอาต์), โจ กิลแลนด์ (วิชวลเอฟเฟ็คต์ส), เอริค กวากลิโอน (คอมพิวเตอร์แอนิเมชั่น) และ ฟิลลิป บอยด์ กับ คริสทีน ลอว์เรนซ์-ฟินนีย์ ดูแลด้านคลีน-อัพ (Clean-Up) กิลแลนด์กับกวากลิโอน พบวิธีผสมผสานภาพจากเทคโนโลยี CG (computer generated) และเอฟเฟ็คต์เข้ากับภาพวาดสีน้ำ ส่วนทีมดิจิตอลโปรดัคชั่นและเอฟเฟ็คต์ ทำโมเดลและวาดภาพวัตถุต่างๆ เช่น ยานอวกาศ, ปืนรังสี, กระดานโต้คลื่น, ยานแม่ที่จะปรากฏให้เห็นในฉากเปิดเรื่อง นอกจากนั้น ทีมเอฟเฟ็คต์ยังสร้างภาพใต้น้ำที่น่าทึ่ง และพาคนดูไปพบกับภาพ ที่แม้แต่หนังคนแสดงก็ยังทำไม่ได้นั่นคือ ภาพด้านในของคลื่นยักษ์ กับยังมีเอฟเฟ็คต์น่าตื่นตาอีกมากมายในหนัง ไม่ว่าจะเป็นภาพลาวาไหลทะลัก, ระเบิด และภาพยานอวกาศของสติทช์ที่ถูกขโมยไป แล้วพุ่งด้วยความเร็วสูง เข้าสู่อุโมงค์กาลเวลาอย่างรุนแรง
เนื่องจากเรื่องราวเกิดขึ้นที่ฮาวาย ทีมงานจึงใช้เวลาไปศึกษาความงามตามธรรมชาติอันน่าทึ่ง ของเกาะสวรรค์แห่งนี้ แซนเดอร์ส, เดอบลัวส์, สลูเตอร์ ผู้กำกับศิลป์, สแตนตัน แบ็คกราวด์ซูเปอร์ไวเซอร์, แอนเดรียส เดจา แอนิเมเตอร์ และทีมงานอีกหลายคนหอบหิ้วกล้อง, พู่กัน และสมุดสเก็ตช์ แล้วมุ่งหน้าสู่ฮาวายเป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพื่อศึกษาทิวทัศน์ที่นั่น โดยใช้เวลาส่วนใหญ่บนเกาะคาวี (Kauai) ซึ่งทีมงานทั้งดำน้ำสน็อกเกิล, สกูบ้า, เล่นเซิร์ฟ และเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ อย่าง Hanalei, Hanapepe, หาดนาปาลี, พรินซ์วิลล์ และหาด Ke'e Beach รวมถึงอุทยานแห่งชาติอีกหลายแห่ง เพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับใบไม้, พันธุ์พืช, หินลาวา, ทรายสีส้ม, ท้องทะเลสีเทอร์คอยซ์, ภูเขาสีแดงสด และภาพดวงอาทิตย์ตกอันสวยงาม นอกจากนั้น เดจายังไปดูโรงเรียนชนพื้นเมืองฮาวาย ซึ่งเน้นการศึกษาภาษา และวัฒนธรรมประจำเกาะด้วย
หัวใจสำคัญของเสน่ห์ และอารมณ์ของหนังก็คือ ทีมพากย์ระดับแนวหน้า นำโดย ดาวีห์ เชส (อายุ 11 ขวบ) รับบทเอกเป็นลีโล่ เธอเข้ามาทดสอบบท พร้อมกับเด็กหญิงคนอื่นๆ อีก 100 คน และสามารถอ่านบทได้ ตรงกับจินตนาการของทีมผู้กำกับมาก
น้ำเสียงอบอุ่นหวานหูในบท นานี่ ของ เทีย คาร์เรเร่ นักแสดงสาวเชื้อสายฮาวายตัวจริง ก็สร้างความประทับใจแก่ผู้กำกับ จนคว้าบทพี่สาวจอมวุ่นของลีโล่มาได้สำเร็จ เช่นเดียวกับ วิง เรมส์ ที่ให้เสียงมีอำนาจปนลึกลับแก่บท คอบร้า บับเบิลส์ หนุ่มนักสังคมสงเคราะห์จอมเคร่งเครียด, เดวิด อ็อกเดน สเทียร์ส นักแสดงมากความสามารถ คนโปรดของแอนิเมเตอร์ดิสนีย์ ให้เสียงตัวร้ายอัจฉริยะ จัมบ้า จูกิบ้า, เควิน แม็คดอนัลด์ จาก Kids in the Hall และ That 70s Show พากย์เสียง พลีคลี่ย์ เอเลี่ยนผู้เชี่ยวชาญด้านโลกมนุษย์, เจสัน สก็อตต์ ลี (ซึ่งเคยแสดงเป็นเมาคลี ในหนังของดิสนีย์เรื่อง The Jungle Book) นักแสดงชาวฮาวายอีกคนหนึ่ง ให้เสียง เดวิด คาเวน่า แฟนเก่าและเพื่อนร่วมเล่นโต้คลื่นของนานี่, โซ คาลด์เวลล์ นักแสดงหญิงเจ้าของ 4 รางวัลโทนี่ ให้เสียงสมาชิกสภาหญิง
สำหรับเรื่องเสียงพากย์สติทช์นั้น ผู้กำกับ คริส แซนเดอร์ส บอกว่า "ตอนแรกเราไม่ได้คิดจะให้สติทช์พูดได้ ตอนที่ผมเอาโครงเรื่องไปเสนอนั้น ผมทำเสียงเล็กๆ น่ากลัวๆ ผสมไปด้วย ซึ่งมันก็ดูเข้ากันดีกับภาพวาด เราก็เลยยึดเสียงแบบนี้เอาไว้ และเมื่ออยู่ในช่วงพัฒนาเรื่อง เราก็ตัดสินใจว่าจะให้มันพูดซัก 2-3 หน รวมถึงในท่อนจบของหนังด้วย เราจึงพยายามทำงานหนักในด้านนี้ เพื่อให้ได้การแสดงที่ดูจริงใจมากที่สุด"

ผลไม้ทายนิสัย


> กระท้อนคนชอบกินกระท้อน จะมีลักษณะแข็งนอกอ่อนใน ดูภายนอกเหมือนคนก้าวร้าวแต่จริง ๆ จิตใจดี อ่อนไหวง่าย ไม่ชอบความรุนแรง รักสงบ> กล้วยสำหรับคนที่ชอบทานกล้วย ภายนอกดูจะเป็นคนเงียบขรึม แต่นิสัยจริง ๆ คืออ่อนไหวง่าย ถ้าถูกใครพูดกระทบกระแทกหน่อยก็จะเก็บเอาไปคิดเสียใจ เป็นคนโอบอ้อมอารีย์ มีเหตุผล รอบคอบ มองการณ์ไกล ชอบวางแผน อนาคตให้ตัวเองและคนที่อยู่รอบข้างเสมอ เป็นคนนิสัยรักสันโดษ เป็นคนที่มีจิตเป็นกุศล ชอบทำบุญแก่คนทุกข์ยาก> เงาะสำหรับสาว ๆ ที่ชอบกินเงาะจะเป็นคนค่อนข้างขี้เล่น สามารถทำให้คนรอบข้างมีความสุขได้ ถึงคุณจะขี้โม้ไปบ้างแต่เพื่อน ๆ ก็ชอบในความร่าเริงสนุกสนานของคุณ> ชมพู่สำหรับคนขี้เกรงใจ จะชอบกินชมพู่มากเป็นพิเศษ มีความอดทนสูง ยิ้มได้ในทุกสถานการณ์ แต่เป็นคนมองโลกในแง่ร้ายและคิดมาก แต่ไม่ชอบที่จะทำร้ายจิตใจใครจริง ๆ ดังนั้นถ้าหนุ่มคนไหน ชอบกินชมพู่เป็นพิเศษหล่ะ ก็ควรจะเอาใจเค้าให้มาก เพราะเค้าจะคิดอะไร ๆ ไปในทางลบเสมอ > แตงโมเป็นของว่างจานโปรดสำหรับสาวใจกว้าง อ่อนโยน มีน้ำใจกับมิตรสหาย ซื่อสัตย์ไม่คิดคดทรยศ เป็นคนง่าย ๆ มองโลกในแง่ดี จะไม่ค่อยโวยวายหรือคิดมาก ตั้งอกตั้งใจทำงานดี แต่มักแพ้ภัยแก่เพศตรงข้าม และคนที่ชอบกินแตงโมจะเป็นคนที่รักใคร่เอ็นดูของเพื่อนฝูงอีกด้วย> ฝรั่งสาว ๆ ที่ชอบฝรั่งมักเป็นคนรักอิสระ ชอบที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ ไม่ชอบทำอะไรซ้ำซากจำเจ> มะพร้าวเพื่อน ๆ ที่ชอบมะพร้าวมักเป็นคนใจบุญ มีจิตเป็นกุศล มองโลกในแง่ดี วาจาคมคาย พูดจาเหน็บคนให้เจ็บด้วยใบหน้าที่ใสซื่อเก่งนักแหละ> มะละกอผลไม้โปรดของคนที่มีน้ำอดน้ำทนสูง มีความคิดลุ่มลึก คิดเป็นเหตุเป็นผล วางแผนแยบยล โอบอ้อมอารีย์> มังคุดเหมาะสำหรับคนที่เก็บเนื้อเก็บตัว ช่างฝันและมีอารมณ์โรแมนติก อ่อนไหวง่าย รักใครได้ง่าย ๆ และเก็บเอาไปนึกคิดคนเดียว แต่ไม่นานก็ลืมเอาดื้อ ๆ แล้วก็ไปหลงคนอื่นต่อไปเรื่อยเปื่อย พูดง่าย ๆ คือเป็นผลไม้สำหรับคนเจ้าชู้ไงจ๊ะ> ลองกองพวกที่ยึดเอาลองกองเป็นอาหารหลัก เป็นคนรักสันโดษ ชอบเดินทาง ชอบการผจญภัยในที่ที่ตนเองไม่เคยไป อนุรักษ์นิยม> ลางสาดสำหรับเพื่อน ๆ ที่เลือกลางสาดเป็นผลไม้หลัก จะเป็นคนอนุรักษ์นิยม ยึดมั่นในแนวความคิดเก่า ๆ ชอบวิถีทางที่เคยทำมาแต่ก่อน แต่เป็นคนมีเหตุผล> ลิ้นจี่ผลไม้สำหรับคนชอบทำงานเบา ๆ ไม่ต้องใช้กำลังแรงงานมาก ๆ คนชอบทานลิ้นจี่กลัวเพื่อน ๆ จะลำบากน้อยกว่า เลยให้เพื่อน ๆ เอางานไปช่วยทำซะหมด ตัวเองคอยชักใยอยู่เบื้องหลังสบาย ๆ นี่เอง > ลำไยคนชอบทานผลไม้เม็ดเล็กชนิดนี้มักเป็นคนปากหวาน ชอบประจบประแจง ใช้คำพูดยกยอคนให้หลงปลื้ม แต่มักเป็นคนชอบนินทาว่าร้ายคนอื่นลับหลัง> สตรอเบอร์รี่ถ้าชอบทานสตรอเบอร์รี่ บอกได้เลยว่าคุณเป็นสาวคุยสนุก มีอารมณ์ขัน ทำให้คนอื่นหัวเราะได้ตลอดเวลา เป็นที่ต้องการของเพื่อนๆ ในกลุ่ม และเมื่อจะพูดคุยหรือทำอะไรก็ต้องมีคนดู คนฟัง และค่อนข้างมีรสนิยมทีเดียว> สาลี่ผลไม้คุณหนู ผู้ที่ชอบทานมักจะมีนิสัยอ่อนหวาน สุภาพ อ่อนโยน ไม่ชอบขัดใจใคร มองโลกในแง่ดี ไม่นินทาว่าร้ายใคร นอกจากนี้ยังเป็นนักเล่าเรื่องที่ดี> ส้มเขียวหวานเห็นชอบส้มอย่างนี้เป็นคนทันสมัย หัวก้าวหน้า แต่มักมีนิสัยหึงหวงเพศตรงข้ามอยู่เนืองๆ มัธยัสถ์ รู้จักใช้จ่าย > ส้มโอคนที่ชอบส้มโอจะเป็นคนที่รักความสบาย ความหรูหรา โอ่อ่า ใจอ่อนง่าย ถ้ามีใครๆ มาตื๊อก็คงยอมให้กันทุกอย่างแบบเทกระเป๋าไปเลย> สัปปะรดผู้ที่ชอบกินเป็นคนที่แคร์คนอื่นมากเกินไป มัวแต่ไปเอาใจคนอื่นเกินไป ทำให้เพื่อนๆ มักจะรำคาญและเบื่อหน่ายอยู่เสมอ> องุ่นผลไม้ยอดฮิตของคนสวยมีเสน่ห์ เพื่อนๆ ที่ชอบทาน มักเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี เข้ากับคนง่าย นิสัยร่าเริง มีความคิดความอ่านสุขุมรอบคอบ ปากกับใจไม่ค่อยตรงกันนัก ไม่ค่อยชอบบอกเรื่องส่วนตัวให้ใครรู้ง่าย ๆ > แอ๊ปเปิ้ลผลไม้ของคนขี้เหงา ขาดเพื่อนไม่ได้ เป็นคนไม่ค่อยแคร์เรื่องความรัก คือนึกจะรักใครก็รัก นึกจะเลิกก็เลิกขึ้นมาง่ายๆ แต่จะเป็นคนที่มีความอดทนในเรื่องของการทำงาน